วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ทาง



สุดปลายบันไดไม่ใช่จุดหมาย
สุดผืนทรายไม่ใช่ทะเล

ชีวิตเดินต่อไป

#โรคไร้สาระ

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ชา



บางคราว ข้าเหงาเกินกว่า
บางครา ข้าหนาวเกินไป
บางทาง ไร้ซึ่งจุดหมาย
บางใจ เฉื่อยเฉยเย็นชา
.
.
องค์ศาสดาสอนสั่งไม่ให้จมปลักในกับดักอดีต ไม่ให้เขียนขีดเส้นชัยให้อนาคต สิ่งที่พระองค์บอกคืออยู่กับปัจจุบัน

ข้าไม่ใคร่เข้าใจ ข้าพยามยามทำ ตอนนี้ข้าทำอย่างนั้น ข้าคิดถึง ข้าอยู่กับความคิดถึง ความคิดถึงที่มีทุกวัน ข้าอยู่กับปัจจุบัน

#โรคไร้สาระ

น่าน



น้องคนหนึ่งถ่ายภาพจักรยานคันหนึ่ง บนทางเท้าหนึ่ง ข้างกำแพงหนึ่ง มีผู้หญิงสวยคมคายคนหนึ่งเป็นคนขี่ เขาอธิบายภาพนั้นสั้นๆ ว่า "น่านก็คือน่าน"
.
.
จักรยานหนึ่ง ทางเท้าหนึ่ง กำแพงหนึ่ง แม้ไม่มีสาวงามคนหนึ่ง ผมยังเห็นและคิดคล้ายกับเขา ผมคิดว่า "นั่นหล่ะน่าน นั่นหล่ะหนึ่ง"
..................................
ขณะความรู้สึกหนึ่งผ่านเข้ามาในอารมณ์หนึ่ง
ชายชราคนหนึ่งบันทึกภาพจักรยานคันหนึ่ง ช่วงบ่ายหนึ่งในเมืองน่าน




หนึ่งเสี้ยวน่าน
#โรคไร้สาระ

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การเดินทางกับกางเกงยีนส์ Indigoskin



หากย้อนไป 10 ปี ผมมีกางเกงยี่ห้อเดียวที่ใส่ประจำคือ LEVI STRAUSS & CO. กางเกงยีนส์เก่าแก่สายพันธุ์อเมริกัน 

คนที่เล่น Levi's เข้ากระดูกถ้าไม่ถูกปลูกฝังก็เข้าขั้นหลงใหลหรือเกิดและเติบโตข้างแค้มป์จีไอ (ทหารอเมริกัน)

ผมเป็นพวกหลัง คือเกิดทันแค้มป์ที่โคราช ผลิตภัณฑ์ Levi's Converse Layban จึงติดตัวติดตามาตั้งแต่เด็ก ผูกพันเป็นใยยาวจนอายุปาเข้ากลางคนยังซุกซนกับ Levi's เช่นเดิม

แต่วันหนึ่งก็แปรผันจากสายพันธุ์ต่างชาติ ผมหมกหมุ่นอยู่กับกางเกงไทยในนาม "Indigoskin"

ในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ผมได้กางเกงยีนส์มาตัวหนึ่งจากคุณน้อย (สุรินทร์ สนธิระติ) ที่กลางดงเมาเทนวิว อ.ปากช่อง คุณน้อยยื่นยีนส์ใหม่เอี่ยมให้ผมตัวหนึ่ง บอกว่าลองเอาไปใส่ หลานทำออกมาขาย (หมายถึงลูกชายคนโตของคุณน้อยเป็นผู้ออกแบบและผลิต)

จากวันนั้นถึงวานนี้ผมติดกางเกงตัวนี้มาก พามันเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มันกับผมพากันเดินทางผันผ่านหลายประเทศ หลายภูมิภาค หลายอากาศ หลายอารมณ์ เช่น ปักกิ่ง กวางโจว จูไห่ มาเก๊า เกาหลีใต้ไปจรดชายแดนเกาหลีเหนือ หรือเข้าไปอยู่ในเมืองกาฐมัณฑุ เมืองโภคราของเนปาล สุดท้ายปลายทางพามันไปตากหิมะกับอุณหภูมิติดลบ 22 องศาที่เกาะฮอกไกโด ญี่ปุ่น


มันไปกับผม ผมไปกับมัน กระทั่งความเข้มซีดด่าง จืดจางลงเป็นลำดับ รอยยับย่นข้นได้ที่ หลังกลับจากญี่ปุ่นผมมีโอกาสใส่มันอีกครั้งเดียว จากนั้นไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลย


หลังจากพายีนส์คู่ใจไปท่องโลก กลับจากญี่ปุ่นผมแวะไปหา "ตะกร้อ" หรือธัชวีย์ สนธิระติ ผู้ออกแบบ ผู้สร้างสัญลักษณ์ ผู้คิดโปรเจคต์ และทำอะไรเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับยีนส์ที่เขาเรียกมันว่า Indigoskin
วันนั้นทักทายกันพอหอมปากหอมคอ ในฐานะอากับหลาน ในวิญญาณพี่กับน้อง เขาเห็นกางเกงที่ห่อท่อนล่างของผม เขายิ้ม จากนั้นส่งเสียงแกมบังคับให้ผมถอดกางเกงออก ถอดเพื่อเก็บเข้ากรุ เอาไว้ดิสเพลย์ร้านหรือจัดงานในอนาคต
ปรากฏว่าผมได้กางเกงตัวใหม่กลับบ้าน ก่อนจากลาตะกร้อบอกผม "พี่ปลาเอาไปปั้นหน่อย" เป็นอันเข้าใจกันในสายยีนส์ว่าปั้นหมายถึงใส่ให้มันสวย ให้มันเกิดคุณค่า (ทั้งๆ ที่มันมีคุณค่าอยู่แล้ว)
เวลาผ่านไปหลายเดือน ผมไม่ได้ใส่กางเกงตัวใหม่ไปไหนเลย ที่เป็นเช่นนั้นมาจากสองสาเหตุ 1.ผมอ้วน 2.กางเกงตัวใหม่ไม่โดนใจเท่าตัวแรก (คงเป็นเพราะความผูกพัน)
เวลาผ่านไปหลายเดือน ผมตัดสินใจคุยกับพี่น้อย (พ่อตะกร้อผู้ออกแบบ) ว่าผมอยากเอากางเกงไปเปลี่ยน (ด้วยความเกรงใจ) พี่น้อยบอกไปหาหลาน ไปเปลี่ยนเลย
เมื่อวานผมตัดสินใจไปสยาม ไปเปลี่ยนกางเกง แต่โทษเถอะครับด้วยความชราวัยดันลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่บ้าน ดีว่าในเป้มีเงินหลงเหลืออยู่ร้อยกว่าบาท เป็นร้อยกว่าบาทที่ส่งผมไปสยามสแควร์โดยปลอดภัย ผมต้องเดินด้วยความระมัดระวัง กลัวเดินไปชนอ่างกะปิล้มคว่ำคะมำหงายแล้วไม่มีเงินจ่าย เลาะเลียบทางเท้าจากสถานีรถไฟจนถึงร้านที่สยามซอย 1
ในร้านมีชายหนุ่มคุ้นหน้า มีชายหนุ่มแปลกหน้า และมีชายหนุ่มอีกคนก็แปลกหน้า คนคุ้นหน้าเป็นเพื่อนเจ้าของร้าน เขาบอกว่าตะกร้อไม่สบาย วันนี้ไม่ได้มา ผมบอกว่าไม่เป็นไร แต่ให้ต่อสายคุยกันหน่อย
การสนทนาแสนสั้นผ่านไป ความเข้าใจแสนยาวเข้าแทนที่ ผมเปลี่ยนกางเกง คราวนี้ได้รุ่นถูกใจ เหมือนรุ่นแรกที่เคยใส่ ต่อไปนี้คงต้องปั้นยีนส์ตัวนี้ให้ย่นยับขยับรอยอย่างที่เคยทำและเคยเป็น
ก่อนจากจากลาผมยืนดูแจ๊คเก็ตยีนส์ตัวหนึ่ง ผมมองมันมานาน มองตั้งแต่ร้านแรกกระทั่งย้ายมาอยู่ที่นี่ สัญญาว่าจะเป็นเจ้าของมันด้วยตังค์ตัวเอง
..................

"ตะกร้อ" หรือ "ธัชวีย์ สนธิระติ" ปัจจุบันเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าแถวหน้าของเมืองไทย ได้ทำงานร่วมกับดีไซน์เนอร์ชื่อดังของญี่ปุ่น ได้ร่วมงานออกแบบ (บางงาน) กับ Converse เขาเป็นคนมีค่าหัว แบรนด์ดังต้องการตัว
เท่าที่ทราบเขายังคงดีไซน์งานตัวเองต่อไปตามบทวิถี มีสิ่งหนึ่งที่ผมเฝ้ามองคืองาน ผมเฝ้าดูดีไซน์เนอร์ผู้นี้ทำงานแล้วตั้งคำถาม เขามีทิศทางอย่างไรในวงการเสื้อผ้า? งานเท่ๆ ที่เห็นและเป็นไปจะก้าวไปอยู่ตรงไหนบนบันไดงานออกแบบ? ผมเฝ้าดูในฐานะผู้เสพ ไม่ใช่ฐานะญาติ
.................

หลังจากการเดินทาง+กางเกงยีนส์บทแรกโพสต์ในเฟสบุ๊ค มีคนถามว่า "ทำไมถึงชอบ Indigoskin" และ "Indigoskin มีอะไรดีถึงได้ลืมลีวายส์" ต้องบอกกันตรงนี้ ผมไม่ได้ลืมลีวายส์และไม่มีวันลืม (ทุกวันนี้ยังใส่อยู่)

ส่วน Indigoskin มีอะไรดี ไปค้นหากันเองครับ คือมันมีที่มาที่ไป เริ่มจากทรง ผ้า กระดุม เข็ม เครื่อง ทุกเรื่องล้วนละเอียดอ่อน ไม่เว้นแม้ป้ายหนังลายไทยซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ผมภาคภูมิใจใน INDIGOSKIN QUALITY OF SIAM

#โรคไร้สาระ

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ทางไกล



สายฟ้า
ฝนห่าใหญ่
พายุใจ
ภัยอารมณ์

เส้นทางการอยู่ร่วมไม่ได้สวยงามเสมอไป
แน่ใจแล้วหรือว่าพร้อมโบยบิน
อย่านึกว่ามันง่าย การใช้ชีวิตคู่ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
...............

ฟ้าก่อนค่ำ
บันทึกที่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

16 มิถุนายน 2558
#โรคไร้สาระ

ชีวิตคล้ายโปสการ์ด




บางช่วงชีวิตเหมือนโปสการ์ด
ไร้ทุกข์ สุขเสมอ สวยงาม ไมีมีที่ติ
รอยจารึกด้านหลังมีไว้ให้ใครอิจฉา

บางช่วงชีวิตเหมือนโปสการ์ด
ไร้สุข ทุกข์เสมอ มีที่ติ ตำหนิบาน
รอยจารึกด้านหลังมีไว้ให้อ่านเพียงลำพัง
................................

วัดต้นเกว๋น (วัดตะขบป่า) เชียงใหม่


#โรคไร้สาระ


ช่องว่างระหว่างวัน



มีใครคนหนึ่งรอคอยใครคนหนึ่ง
บางวันคิดถึง บางวันโหยหา
อาการนี้ บางคนทับถมว่า "บ้า"
บางคนกล่าวหาว่า "เมา"

ผมสันนิษฐานว่า "รัก"
ถ้าบางวันเป็นเอามาก ผมสรุปว่า "รักและคิดถึง"
..........................


บันทึกภาพที่หลองข้าวลำ จ.เชียงใหม่
#โรคไร้สาระ

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เรือชรา


โซ่ตรวนน้ำตาตรึงเรือชราไว้ริมตลิ่ง
ผูกรัดมัดแน่นหนามานานแสนนาน
.............

ถึงเวลาปลดปล่อย
เรือลอยตามยถากรรม







บันทึกภาพที่แก่งก้อ อ.ลี้ จ.ลำพูน
#โรคไร้สาระ





วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บางคิดของบางคน




กอดแล้วปล่อย
รอคอยเพื่อคืนรัง

"ความหวังโง่ๆ ของคนงุ่มง่าม งดงามเสมอ" ใครบางคนบอก

"ไร้สาระสิ้นดี" ใครบางคนบ่น

#โรคไร้สาระ

สงครามความรัก

บทความนี้เป็นเรื่องสั้นที่เขียนลงในเพจ The Diary แบบ 4 ภาพ ภาพละตอน (4 ตอนจบ) ซึ่งถูกเผยแพร่ไปบ้างในกลุ่มเพื่อนพี่น้องในโลก FB (เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา)

เรื่องราวได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางไปเยือนเมืองอุ้มผาง เมืองกลางป่าที่ผมหลงใหล
วันนี้ผมกลับเข้าไปอ่าน เข้าไปพิจารณา ผมพบว่าผมรักมันนะ "เรื่องไร้สาระในช่วงเวลาที่ไร้สาระ" 




สงครามความรัก ตอน 1
เช้าตรู่สู่รุ่งสาง เหตุเกิดกลางไพรในเสน่หา

ม่านหมอกก่อการณ์ดีด้วยวางแผนโจมตีผืนป่า
ไม่มีการเจรจาใดๆ ล่วงหน้า มันคืบคลานเข้ามาราวอสูรกายหลายรอยยิ้ม
ไม่นานนัก ป่าสุดที่รักตกอยู่ในอ้อมกอด กอดกันอยู่ในอ้อมใจ
เสียงผืนป่ากระชิบ "กอดฉันไว้ อย่าจากไปไหนนะ"
ป่ากระซิบทั้งๆ ที่รู้ว่าเวลาแห่งการจากลาใกล้เข้ามา
เมื่อตะวันโผล่พ้นสันเขา สาดแสงสู่แผ่นดิน ถึงเวลานั้นสายหมอกลอยฟุ้ง กระจายตัวไปในอากาศ อ้อมกอดคลาย คงเหลือเพียงสัมผัสรู้สึก..รู้สึกถึงสัมผัส


ความรักไม่เคยจางไปจากใจป่า
ศรัทธาไม่เคยจางไปจากใจโจร
หมอกกับไม้
หัวใจกับหัวใจ
ตลอดกาล นานตลอดไป




สงครามความรัก ตอน 2
เช้าตรู่สู่รุ่งสาย เหตุเกิดกลางไพรในคราวแค้น

ตะวันเคลื่อนเลื่อนตัวเหนือสันเขา
แสงเงาทอดทาบแผ่นดินถิ่นพฤกษา
เสียงป่าบอกหมอกให้ระวังสุริยา
เสียงตื่นกลัวจากเมฆาร้องระงม
ก่อนหมอกจางไป แสงส่งเสียงนาบนุ่ม..ทุ้มอารมณ์
"เจ้าจะกลัวข้าไปทำไม เจ้าหนาวมาทั้งคืน พอเจ้าตื่น..ข้ามอบความอบอุ่นให้ ไม่พอใจหรอกหรือ" ประโยคแรกเขาบอกป่า ประโยคต่อมาเขาบอกม่านหมอก

"เจ้ารักป่าข้ารู้ เจ้าสมสู่กันมาทั้งคืนข้าเห็น ถึงเวลาของตะวันบ้างทำไมต้องหวาดหวั่น หรือเจ้าเห็นแก่ตัวจนมิอาจจากนางไป"

หมอกไม่ตอบคำ สลายไปตามบทวิถี
ป่าก้มหน้าซ่อนยิ้ม คิดในใจเพียงลำพังว่า..ทิวาแห่งความสุขกำลังเริ่มต้น ความอบอุ่นเยื้องกายมา ขอเพียงอย่ามีฝนก็แล้วกัน





สงคราวความรัก ตอน 3

เช้าตรู่สู่ร่งบ่าย เหตุเกิดกลางไพรในอบอ้าว

ตะวันแอบแค้นเคืองสายหมอก แต่มันหลงรักป่า หลายครั้งหลงคิดว่าป่าเป็นของตะวันเพียงผู้เดียว มันไม่ได้คิดผิดแผกไปจากหมอก..เหมือนม่านหมอกพยายามปกคลุมผืนป่ายามเช้า เหมือนภาพขุนเขาซ่อนตัวอยู่ใต้ปีกหมอกขาวขุ่น

วันนี้ตะวันหมั่นไส้ป่า..เธอทำมารยาอิงแอบแนบชิดม่านหมอกเนิ่นนานเกินไป หลงลืมว่าสุริยารออยู่ วันนี้จึงหาเรื่องให้ป่าร้อน ส่งแสงแดดแผดเผาราวให้เรือนร่างพันธุ์ไม้ละลายไปกับความโกรธเคือง

แต่แสงแกล้งเธอได้ไม่นาน เสียงฟ้าคำรณเสียงฝนคำราม เมฆดำก่อตัว ฟ้าเริ่มมืดมัวด้วยกลุ่มเมฆสีเทาหม่น
ไม่นาน..สายฝนหล่นลงมา สายฟ้าส่งประกาย แสงแดดหนีหาย หมู่ไม้เริงระบำ

ฝนโอบอาบ ป่าซาบซึ้ง เฝ้ารำพึงถึงความเย็นซ่านผ่านกาบเปลือก ฝนยะเยือกไหลเซาะเลาะรอยร่อง ผ่านท่วงทำนองเพลงใบไม้ เสียวซ่านกาย กอดก่ายมนต์มายามิรู้เบื่อ

กว่าตะวันจะรู้ว่าฝนกับแมกไม้โอนถ่ายความรักกันอย่างไร ราตรีเฉิดฉายร่ายร่างเข้าครอบครอง หมดเวลาของตะวัน หมดวันของพิรุณ

"หลับเถิดป่า จันทราจะขับกล่อมเอง" เสียงดาวเถื่อนกระซิบป่าชื้นในช่วงเม็ดฝนยังไม่ระเหยหาย พันธุ์พฤกษบิดเรือนกาย..แสร้งเอียงอายพอเป็นพิธี



สงครามความรัก ตอน 4 (จบ)
เช้าตรู่สู่รุ่งวันใหม่ เหตุเกิดกลางไพรในความเข้าใจ

ฝูงนกบินออกจากป่า ออกไปหากินตามปกติ
พวกมันบินจากป่าหนึ่ง..สู่ป่าหนึ่ง เจ้าตัวเล็กบินอยู่ท้ายสุดเร่งความเร็วขึ้นมาเคียงข้างแม่ มันเอ่ยปากบอกกล่าวเรื่องบางอย่าง
"แม่ครับ วันนี้ป่าสวย หมอกงาม อากาศดี ด้านหน้าโน้นมีฝนตกลงมาเบาๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวันก็ดีซิครับแม่"

แม่นกหันมามอง แล้วบอกลูกน้อยว่า"ป่าไม่มีอะไรแน่ แม่เคยเห็นความเปลี่ยนแปลงมามากแล้ว พายุกระหน่ำ ซ้ำด้วยน้ำป่า บางกาลเวลาป่าแห้งแล้งร้าย น้ำซึมแทรกทราย แม้ควายยังไม่มีน้ำกิน"

"แล้ววันนี้........." เจ้าตัวเล็กเอ่ยถามไม่ทันจบประโยค แม่นกชิงตอบ

"เมื่อวาน...ฝน หมอก แดด ดวงดารา แวะเวียนมาหาป่า มาโอบกอดพลอดรัก สุดท้ายตกลงกันว่าจะรักป่าเท่าๆ กัน เกื้อหนุนจุนเจือกัน ถึงวันหนึ่งป่าท้องต้องมีครรภ์ คลอดลูกออกหลาน ป่าเบิกบานกว้างใหญ่ ถึงวันนั้นต้นไม้ในพงไพรจะโลมไล้ให้โลกเย็น"

เจ้าตัวเล็กพยักหน้า ขยับปีกบินข้ามป่า บินไปในท้องนภา บินตามแม่ไป
..............................

พายุทราย พรายทะเล
#โรคไร้สาระ

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อยู่ที่ใจ






ขวากขม
คมหนาม
ก้าวข้ามหรือฟันฝ่า

ตามหาแรงใจให้เจอ อย่าปล่อยให้ความท้อแท้ขบกัดปัญญา
...............................


บันทึกภาพริมถนนเพชรเกษม ต.คลองวาฬ (ฝั่งตะวันตก) จ.ประจวบคีรีขันธุ์
#โรคไร้สาระ

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พู่กันในมือนักรบ



พู่กันในมือนักรบผู้เหนื่อยล้าจากสงคราม
มิอาจนำรอยเลือดมาเฉือดเฉือนบนผืนผ้าใบ
สิ่งที่เขาต้องทำคือ

วาดความตายให้คลายขม
วาดความตรมให้หายขื่น
วาดความเริงรื่นให้เพื่อนชื่นใจ

วาดสันติตอบโต้ความขัดแย้ง
วาดความรุนแรงเป็นมิตรไมตรี
วาดคุณความดีสลายความระยำ

แล้ววันนี้
ผู้เสวยสุขในเมืองใหญ่วาดอะไรให้พวกเขา
กระถางธูปหรือคำเชยชม?

#โรคไร้สาระ

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ฝังรกราก

กราบไหว้บูชา
ศรัทธาหรืองมงาย

นานมาแล้ว ผมหัวเราะเยาะภาพพวงมาลัยตามต้นไม้
เย้ยหยันคนบูชาเทพเทวาที่เชื่อว่าสิงสถิตอยู่ในนั้น


วันหนึ่ง เริ่มรู้สึกถึงพลังบางอย่างจากต้นไม้หลังจากรู้จักป่าและรู้จักวิถีชนเผ่า

วันหนึ่งได้สัมผัสวิถีปะกาเก่อญอ (กะเหรี่ยง) พวกเขาบูชาต้นไม้ รักษ์ต้นไม้ รกจากสายสะดือมารดาหลังคลอดเป็นสายสัมพันธ์สืบถึงคนกับต้นไม้ พวกเขาเอารกฝังไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ เป็นต้นไม้ประจำตระกูล ต้นไม้ประจำครอบครัว มีความเชื่อว่าการฝังรกที่รากทำให้ชีวิตอุดมสมบูรณ์ ร่มเย็นเป็นสุข นับเป็นความเชื่อที่ยอดเยี่ยมเพราะเอาธรรมชาติมาดำเนินชีวิต เป็นปรัชญาเรียบง่ายที่น่านับถือ คือป่าอุดม ต้นไม้เติบโต ชีวิตเป็นสุข

วันหนึ่งผมยกมือไหว้ป่า กราบสักการะต้นไม้ มอบชีวิตและจิตวิญญาณให้ธรรมชาติ
วันหนึ่งผมเลิกยกมือไหว้นักการเมืองสกปกรก เลิกนับถือคนขี้อวดไร้ประโยชน์ต่อประเทศชาติ
วันหนึ่งผมไม่ยกมือไหว้ผู้ใหญ่บางคนที่ทำตนเยี่ยงเดรัจฉาน  มารสังคม

วันหนึ่งผมจะฝังร่างไว้ใต้แผ่นหิน ใต้ผืนดิน หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับรกใต้ราก ละลายกลายเป็นอินทรีย์ธาตุส่งเสริมให้ต้นไม้เจริญเติบโตต่อไป


ถึงวันนี้ผมเคารพต้นไม้ ศรัทธาสายน้ำ ค้อมคำนับสายลมเมฆฝน ไม่มีความเคลือบแคลงใจใดๆ เกี่ยวกับผู้คนที่กราบไหว้บูชาฟ้าดินอีกต่อไป



#โรคไร้สาระ

ตองน้ำตา

อาบน้ำทะเลดาว
อุ่นหนาวคราวรินไหล
โอบกอดด้วยตองใจ
อิ่มหยาดใสใยน้ำตา

บางสิ่งเกิดมาเพื่อรองรับ ไม่ได้ให้ก็เหมือนให้ ต้องเข้าใจวิถีตน


#โรคไร้สาระ

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2558

รอยจำไม่เคยจาง

                                              จากแผ่นดินสู่ผืนน้ำ จากผืนน้ำสู่ขุนเขา




สนธยา เผยตัวมาเงียบๆ หายตัวไปเงียบๆ ร่ำลา เงียบๆ
เงียบแบบที่สนธยาถนัด สงัดแบบที่สนธยาทำ (ทุกวัน)

ช่วงปลายสนธยา นกกาบินกลับรวงรัง 
ทิ้งความหวังให้ชายหญิงคู่หนึ่งรอคอย
(ไม่น่าเชื่อ วันนั้นสนธยาเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง)

ก่อนค่ำ แมลงปอหลายตัวบินเหนือผิวน้ำ เม็ดฝนบางๆ โปรยปรายลงมา
เขากับเธอไม่เหลือความหวัง
ราตรีนี้ไม่มีโอกาสดื่มทะเลดาวเหมือนคราวก่อน
ได้แต่นอนฟังเสียงฝนพรำจากคืนค่ำจนรุ่งสาง

วันใหม่ เขากับเธอออกเดินทางข้ามผืนน้ำ มุ่งสู่ทุ่งใหญ่นเรศวร
ฝ่าเส้นทางทุรกันดาร
ผ่านป่าดิบอุดม
จุดหมายอยู่ที่ไหนไม่สำคัญ ปลายทางคืนวันมีเธอมีฉันเท่านั้นก็เพียงพอ
...........................................

#โรคไร้สาระ

แก่งคุดคู้


ชายวัยกลางคนปักคันเบ็ดไม้ไผ่ไว้ริมตลิ่ง
นั่งนิ่งราวรูปปั้น เหม่อมองไปยังฝั่งลาว

โขดหินกลางน้ำในยามแล้งเริ่มหายไป
สายฝนวันใหม่ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำ 
อีกไม่นาน ผืนทรายสวยถูกท่วมท้นล้นร่าง ไม่มีใครเห็นสันทรายอีกจนกว่าแล้งหน้ามาเยือน

เขามองดูความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่จำความได้ เขาเห็นความเป็นไปของผืนทราย สายลม แสงแดด แม้แต่ดวงดาวในยามค่ำยังจำได้ทุกดวง

ช่วงฤดูดอกจานบาน ดอกคูณย้อยระย้า ยังเคยหยิบกลีบงามมาแซมหูข้างขวาให้ภรรยาสุดที่รักอยู่เสมอ
เขาเคยบอกเมียว่า วิถีจะเป็นเช่นไร เมืองริมโขงจะเปลี่ยนไปมากเท่าใด ไม่มีความสำคัญ เขาอยากให้ชีวิตเขากับครอบครัวดำเนินเคียงคู่อยู่กับแม่น้ำโขงจนแก่เฒ่า กระทั่งถึงวันลาจากโลกอยากให้ฝังร่างเขาลงบนผืนทรายหรือปล่อยให้มอดมลายไปกับสายน้ำแห่งความสุขสมบูรณ์

เขาสั่งเสียเมียรัก ก่อนจากลาไปในปีรุ่ง 
พรุ่งนี้ไม่มีเขา นอกจากเงาคนหาปลาใต้แผ่นฟ้ากว้างใหญ่
เขาไม่มีพันธะ ไม่มีห่วงอะไร ในเมื่อลูกและเมียจากเขาไปก่อนหน้านั้นแล้ว

ลาก่อนทรายงาม




บันทึกภาพที่แก่งคุดคู้ อ.เชียงคาน จ.เลย
กล้อง Nikon D90
Aperture  F.8
Shutter Speed 1/60s
Iso 100

ควายไทย AEC



เสียงกระดึงกรุ๋งกริ๋งเกร่งกร่าง ดังมาตามทาง แคบเล็กแสนเปลี่ยว
ไม่ใช่รถ ไม่ต้องเปิดไฟเลี้ยว มีแต่ฆ้อนกับเคียว มีแต่ควายกับคน

รีบกลับ รีบเดิน รีบก้าว แม่ไอ้จุกส่งข่าว ชาวบ้านมารวมตัวกัน
ไปประชุม สุมหัวสัมพันธ์ เรื่องราวสำคัญ AEC AEC

หลายคนมากมายหลายฝ่าย บ้างว่าเรื่องนี้ร้าย บ้างว่าเรื่องนี้ดี
รัฐบาลเขาจะผสมสี แดงเหลืองเปรมปรีดิ์ สุขขีรวมพลัง

เจ้านายแย่งกันพูด แข่งกันพล่าม เกล้ากระผมไม่ทราบ ท่านพูดเรื่องอะไร
ยิ่งพูด ยิ่งงงกันใหญ่ หันหน้าหาใคร ก็ไม่มีใครรู้

AEC ที่กำนันท่านบอก รู้ว่าไม่หลอก แต่ไม่รู้เรื่องอะไร
ฟังแล้วกลายเป็นบอดบ้าใบ้ AEC อะไร ใครคือ AEC

ถามควาย ควายยังไม่เข้าใจ มันเป็นเครื่องจักรใหม่หรืออย่างไรกำนัน
กำนันโอ้อวดคำอ้าง นายอำเภอเอาบ้างสร้างความรู้ใหม่
AEC แปลว่าเจริญวัย จะผสมควายไทยส่งไปอเมริกา
ให้โลกได้จารึกว่า สยามการค้าคือสินค้าชั้นนำ

ตาสา ยายสี ลุงมี มีควายดีๆ เอาออกมาเป็นพ่อพันธุ์
ผสมหลายวิธีหลายชั้น สุดท้ายได้ควายบ้านออกมาดูหนึ่งตัว

ควายไทยหน้าตาเหมือนวัว เป็นข่าวรู้กันทั่ว ควายวัว วัวควาย
ยายสีถามท่านกำนัน ชาวบ้านถามท่าน “ควายฉันเป็นยังไง”
กำนันตอบโต้เป็นการใหญ่ ก็นี่ควายไทย AEC AEC
ควายไทย ควายไทย AEC, ควายไทย ควายไทย AEC
......................................

บันทึกภาพที่บ้านหนองขอน อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี 
กล้อง Iphon 4s












วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กอด

เทศกาลโคมหิมะ เมืองโอตารุ เกาะฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น




ฉันเยือกเย็น
ฉันเป็นน้ำแข็ง

เธอเป็นแสง
เธอเป็นไออุ่น
.....................

ความรักเกิดได้ทุกที่ ไม่ต้องมีเหตุผล










เทศกาลโคมหิมะจัดขึ้นบริเวณริมคลอง โดยจัดให้มีการเจาะหิมะแล้วฝังโคมไฟในรูปแบบต่างๆ เข้าไปในผนัง ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งเป็นช่วงที่จัดงานเมืองโอตารุมีสภาพอากาศหนาวเย็นมาก ขณะถ่ายภาพยังสั่นเทา ต้องหลบเข้าไปอยู่ภายในอาคารเพราะอากาศเย็นลงเรื่อยๆ ถ้าอยู่กลางแจ้งนานเกินหนึ่งชั่วโมงต้องกลายเป็นสโนว์แมนแน่นอน









สงครามขนมจีน

โปรดพิจารณา

ผมเป็นคนชอบกินขนมจีนเป็นชีวิตจิตใจ ที่ไหนเด่น ที่ไหนดัง ผมไปกินเกือบทุกที่ ไม่ว่าจะเป็น หล่มสัก หล่มเก่า ประโดก (โคราช) นครศรีธรรมมราช ภูเก็ต ฯลฯ

การกินของผมเริ่มด้วยกินเส้นเปล่าๆ กินเส้นกับน้ำปลา และกินเส้นกับน้ำยาเป็นลำดับสุดท้าย ที่กินอย่างนี้เพราะชอบรสแป้งซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ส่วนน้ำยานั้นแยกเอาไว้อีกเรื่องหนึ่ง เพราะเป็นคนกินทุกน้ำยาเหมือนกัน คือกินไม่เว้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแล้วแต่จังหวะอารมณ์เป็นสำคัญ
ล่าสุดเมื่อตอนสายๆ ได้อ่านบทความบทหนึ่งจากนิตยสารฉบับหนึ่งซึ่งผมชอบและอ่านอยู่เป็นประจำ เขาเขียนเรื่องขนมจีนเส้นสด โดยแนะนำแหล่งหรือร้านที่ผลิตขนมจีนด้วย ใจความพอสรุปได้ว่าขนมจีนเส้นสดเป็นเส้นขนมจีนที่เหนียวนุ่ม รสอร่อยกว่าเส้นหมักตามตลาดทั่วไป

หลังจากอ่าน ผมพยายามทำความเข้าใจ แต่คิดว่าไม่ค่อยเข้าใจ คือการตัดสินว่าเส้นสดอร่อยกว่าเส้นหมักนั้นเอาอะไรมาเป็นเครื่องวัด บางคนอาจชอบเส้นสด บางคนอาจชอบเส้นหมัก อันนี้ผมว่าแล้วแต่ลิ้น แล้วแต่ความชอบนะ อย่างผมนี่กินทุกเส้นทั้งหมักและสด กินได้ทั้งคู่ อร่อยทั้งคู่ แต่กล้าพูดว่าชอบเส้นหมักมากกว่า ที่สำคัญ การผลิตเส้นหมักมีความละเมียดละเอียดอ่อนกว่าเส้นสด ดังนั้นผมจึงไม่เห็นด้วยกับการฟันธงหรือตัดสินแบบนี้ คือมันทำให้ผู้ผลิตขนมจีนหลายรายที่ผลิตขนมจีนเส้นหมักเสียหาย (เรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้อาจกลายเป็นสงครามขนมจีนได้ในภายหลัง)

ที่พูดมาทั้งหมดมีจุดประสงค์อยากให้ความเป็นธรรมแก่ขนมจีนเส้นหมัก และอยากให้เพื่อนพี่น้องผู้ชื่นชอบบริโภคขนมจีนแสดงความคิดเห็นกันซักหน่อยเพราะผมไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าหลงเสน่ห์ขนมจีนเส้นหมักเกินเลยไปหรือเปล่า
..................

ขนมจีนในภาพเป็นขนมจีนเส้นสดที่อำภอหล่มสัก ที่นี่เขามีกรรมวิธีการผลิตทางธรรมชาติด้วยการนำดอกอัญชัน ใบเตย มาเพิ่มสีสันให้เส้นพร้อมทั้งเพิ่มคุณค่าทางอาหารไปในตัวด้วย