วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ขาวกับดำ ต่างกันตรงไหน




ถนนบางสายมืดดำ มองไม่เห็นอะไรนอกจากมุมหม่น
บางถนนสว่างขาว มองไม่เห็นอะไรนอกจากหนาวเหน็บ

คงต้องมองมันด้วยใจ คงต้องไปด้วยความรู้สึก
อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าฟ้าอาจเปลี่ยน ฝนอาจตก ป่ารกอาจเปิดเผยตัวตน

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันต้องเดินต่อไป ปลายทางมีเส้นชัยรออยู่

#โรคไร้สาระ

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เส้นขนาน



เธอเดินทางหนึ่ง
ฉันเดินทางหนึ่ง
ข้ามไปไม่ได้ เอื้อมไปไม่ถึง
แอบมองเธออยู่บนถนนสายนั้น
ถนนที่เธอฉันเรียกมันว่าอุดมการณ์
...............

ความทรมานของการจากคือยังเห็นหน้ากันอยู่

#โรคไร้สาระ

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ผีเสื้อประหลาด (เรื่องสั้น...สั้นๆ)



ผีเสื้อตัวหนึ่งถือกำเนิดกลางป่าใหญ่ ใกล้ริมลำธาร คืนนั้นฝนตกหนัก ปีกบางใสเปียกชุ่ม ขยับไม่ได้ สิ่งที่มันทำคือเกาะกิ่งไม้เก่าแล้วเฝ้ารอ รอให้ฝนหยุด

รุ่งสาง ม่านฝนขาดหาย แสงแดดยามสายช่วยซับน้ำตาจากฟากฟ้า แรกเริ่มมันคิดว่าไม่รอด พอรอดจึงเข้าใจ มันเข้าใจว่าทุกสรรพสิ่งช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ทุกชีวิตสัมพันธ์กัน เป็นหนี้กัน แสงตะวันคือผู้มีบุญคุณ ช่วยชีวิตให้มันรอดพ้นจากความเยือกเย็น มันบอกกับดวงตะวันว่า วงชีวิตสั้นๆ ที่มันมีอยู่ ขอช่วยสังคมป่า ขอเช็ดน้ำตาให้วิญญาณทุกดวง

เหยียดปีกตากแสงสาย
ถึงช่วงบ่ายจึงออกบิน  
เริงร่าไกลจากถิ่น
จากผาหินสู่ธารทะเล




คืนวันผันผ่าน ดื่มกินน้ำตามานานระดับหนึ่ง ซึ่งมันพบว่าน้ำอุ่นๆ นั้นมีรสชาติแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

น้ำตาผู้สูญเสีย  ขม ขื่น
น้ำตาผู้โง่เขลา จืด ชืด
น้ำตาผู้จากลา บ้างขม  บ้างกลมกล่อม
น้ำตาผู้มีชัย กินเท่าไหร่ไม่เบื่อ
น้ำตามารยา รสชาติแย่ที่สุด

ช่วงสุดท้ายปลายชีวิต มันบินกลับมาที่ป่าใหญ่ เกาะกิ่งไม้ริมลำธาร คิดย้อนกลับไปเมื่อวัยวาน ระหว่างทางพบเจอชีวิตมากมาย ได้ดื่มน้ำตาชาย ได้ขโมยความเศร้าจากหัวใจหญิง ได้รับรสความจริง ได้ลิ้มความลวง เสียดายไม่เคยได้ดื่มน้ำตาในทรวงจึงไม่ล่วงรู้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร

เช้าตรู่ มันรู้ความตายใกล้เข้ามา 
แว่วยินเสียงแสงตะวันถามว่า “หากเกิดใหม่ได้ อยากเกิดเป็นอะไร”
มันตอบช้า ชัด และใช่ “ขอเกิดเป็นน้ำตา”
แสงตะวันงุนงง ถามซ้ำอีกคำหนึ่ง “ทำไม”
มันยิ้มแล้วตอบ “น้ำตาเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย”
แสงตะวันหัวเราะเบาๆ ถามเหมือนไม่อยากได้คำตอบ “เจ้าไม่อยากตาย อยากเป็นอมตะ”
ผีเสื้อนิ่ง ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่ใช่ ข้าไม่ชอบอมตะ อมตะมันทรมาน ที่อยากเป็นน้ำตาเพราะอยากให้ผีเสื้อตัวอื่นได้รู้รสบ้าง”


ผีเสื้อพเนจรล่วงหล่นบนพื้นทราย สายลมพัดพาร่างบางเบาไปที่ธารน้ำ ลอยลับไปกับผืนป่า  จากลาชั่วนิรันดร์

#โรคไร้สาระ

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

กว่าจะถึงปลายฟ้า









บางตัวจร บางตัวจาก บางตัวพลัดพรากระหว่างรอนแรม บางตัวหนีไปแบบไร้เหตุผล สุดท้ายพบตัวเองบินเดี่ยวอยู่ในฟ้ากว้าง

ขณะบินเพียงลำพัง มันถามตัวเองว่า "มีกำลังใจไปถึงจุดหมายไหม? สู้อย่างไรจึงไม่โรยแรง? หยุดพัก? ไปต่อ? หรือหุบปีกทิ้งร่างลงกลางทะเลน้ำตา?"

เงียบ
มีคำถามแต่ไม่มีคำตอบ

สุดท้ายมันกางปีกแต่ไม่ขยับบิน
ปลดตัวเองออกจากพันธนาการทางความคิด
ปล่อยให้สายลมอ่อนล้าพาไปสู่ปลายทาง
ถึงหรือไม่ถึง ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป

#โรคไร้สาระ




วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เป็นเช่นนั้น



ชีวิตไม่ได้คมชัดเสมอไป
บางคราวเคว้งคว้าง
บางครั้งแกว่งไกว
เพียงเดินผ่านได้ หัวใจก็สุขพอ
..........................

จาก FB พายุทราย พรายทะเล
#โรคไร้สาระ

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เต่ากับโลกทะเลที่ไม่เคยรู้จัก



เพื่อนฉันเดินนำหน้า
เชื่องช้าและหยุดมอง
เขามองไปที่เกลียวคลื่นหนา
มองหาเส้นขอบฟ้าไกล
มองไม่เห็นอะไรนอกจากเกลียวคลื่นและเกลียวคลื่น

เขาเดินต่อ ฉันเดินตาม
เขาหยุดอีกครั้ง
มองไปข้างหน้า
เหยี่ยวเวหากางปีก
อีกไม่นานมันคงกางเล็บ

นอกจากทะเลกว้างที่เราไม่เคยสัมผัส ยังมีนักล่ารอเราอยู่
การตัดสินใจหนีออกจากบ่ออนุบาลที่ฉันและเขาเติบโตมาไม่ได้ผิด
ฉันและเขาต้องการรู้จักชีวิตในมหาสมุทร
อยากรู้จักการผจญภัย
อยากรู้จักภัย
อยากรู้จักเต่าตัวอื่น พวกเต่านอกบ่อซีเมนต์

คลื่นลูกแรกซัดเรากลับมาบนหาดทราย
คลื่นลูกที่สองย้ายเราไปคนละทิศ
ฉันและเขาไม่ได้พูดคุยอะไรกัน หัวใจมีความมุ่งมั่น มีความฝันจากวานวัย

คลื่นลูกที่สามพัดพาเราออกไป
ฉันสำลักน้ำแต่พยายามแหวกว่าย
ว่ายไปพร้อมเงาพญาเหยี่ยวทาบทับอยู่บนกระดอง

เหยี่ยวโฉบลงมาใกล้ กางเล็บแหลมคม สายตามุ่งตรงมาที่เขา
เราไม่มีทางเลือก เพราะเลือกเดินหน้าต่อไป
น่าแปลกใจ เหยี่ยวกางเล็บแล้วเก็บเล็บ
ขยับปีกลาจาก ไม่ยอมพรากวิญญาณเรา

รอดจากเหยี่ยว
ไม่รอดจากความเปลี่ยวเปล่า
เขาหายไป ฉันหายใจ
ทะเลกว้างใหญ่ยังรอคอย
.
.
โลกนอกกะลา
........................................

หาดท้ายเหมือง เนื่องจากการปล่อยเต่าบนผืนทราย กรมประมงฯ จังหวัดพังงา
บันทึกภาพวันที่ 12 ก.ค. 2558

#โรคไร้สาระ



วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

สิ่งที่เรียกว่าบ้าน


ขนำกลางนา
ไร้ฝา หลังคาเก่า
ใช้หลบแดด
ใช้หลบฝน
ใช้หลบคนที่น่าชิงชัง
.
.
ในคราวเหน็ดเหนื่อยอาศัยเป็นที่พัก
ในคราวมีรักเอาไว้เป็นที่พบเจอ
.
.
สุขและฝันในบ้านหลังน้อย..ขนำ
..................................................

สิ่งที่เรียกว่า "บ้าน" มีองค์ประกอบสำคัญสองสามข้อ คืออุ่นและสุข ลองสำรวจดูว่าบ้านหรูหราราคาแพงของคุณมีองค์ประกอบประเภทนี้ไหม
..........................................

บันทึกภาพที่ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน
#โรคไร้สาระ






วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ฉันเป็นกา





ตอนเป็นเด็ก มีพ่อแม่เป็นครูสอนบิน
ตอนเป็นเด็ก มีพ่อแม่เป็นครูสอนหากิน
ตอนเป็นเด็ก แอบดูเหยี่ยวโผผินบินโฉบเหยื่อ

โตขึ้น ฉันโผขึ้นไปยอดผา แอบฟังการสนทนาระหว่างลูกเหยี่ยวกับพ่อเหยี่ยว ความตอนหนึ่งพ่อเหยี่ยวสอนลูกว่า “เหยื่อไม่ได้โง่ ขณะเราโผลงไปใกล้ผิวน้ำ อาจมีนักล่ารอคอยเราอยู่ อย่าทะนงตัวเองว่าเป็นเหยี่ยว แค่ก้าวพลาด ผู้ล่ากลายเป็นเหยื่อ เหยื่อกลายเป็นผู้ล่า”

โตขึ้น ฉันรู้ว่าแม่กาแน่กว่าพ่อเหยี่ยว เล่ห์เหลี่ยมเยอะกว่า ขยันกว่า แต่แม่กามีความต้องการมากกว่า แม่กาเป็นแม่กา ไม่ได้เป็นแม่เหยี่ยว

โตขึ้น ฉันถูกขับไล่จากฝูงกา ข้อหาผิดแผกแตกต่าง
โตขึ้น ฉันผจญภัยในเวิ้งว้าง บินอย่างกาไม่ได้บินอย่างเหยี่ยว
โตขึ้น ฉันบินเดี่ยวแบบเหยี่ยวไม่ได้รวมฝูงอย่างกา

โตขึ้น ฉันใช้ชีวิตแบบเหยี่ยว ล่าเท่าที่หิว กินเท่าที่ต้องการ
โตขึ้น ฉันยังเป็นกา ยังสืบสานเสียงกาบนฟ้ากว้าง 
โตขึ้น ส่งเสียงน้อยลง บินไกลกว่าเดิม


โตขึ้น ฉันยังเป็นกา ฉันไม่ใช่เหยี่ยว
...................................................

บันทึกภาพกาที่ทะเลน้อย จ.พัทลุง
#โรคไร้สาระ

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

อีสานสไตล์



"โลกเปลี่ยนมากเท่าใด หัวใจเปลี่ยนไปหรือเปล่า"

ผู้เฒ่าถูกถาม
ผู้ถามยังไม่เฒ่า





กระติ๊บข้าว 
ผ้าขาวม้า 
โชคชะตาพามาพบเจอ


งานศิลปะบนฝาผนัง งานโฟล์คอาร์ตแบบจัดวางของคุณบุญทรง คลอสเน่อร์
เป็นงานเรียบง่ายแบบอีสาน งานนี้ไม่ได้จัดแสดง แต่จัดขึ้นเพื่อต้อนรับใครคนหนึ่งซึ่งจากหมู่บ้านชนบทแห่งนี้ไปนานแสนนาน
...............................

บ้านหนองขอน อุบลราชธานี
1 กรกฎาคม 2558
#โรคไร้สาระ








วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

รอเปลี่ยน



ฝนบาง
แสงเบา
ควันเหงา
เงางาม
.
.
.
แล้งใกล้ลา
..................

ท้องนาบ้านหนองขอน อุบลราชธานี
#โรคไร้สาระ

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ทาง



สุดปลายบันไดไม่ใช่จุดหมาย
สุดผืนทรายไม่ใช่ทะเล

ชีวิตเดินต่อไป

#โรคไร้สาระ

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ชา



บางคราว ข้าเหงาเกินกว่า
บางครา ข้าหนาวเกินไป
บางทาง ไร้ซึ่งจุดหมาย
บางใจ เฉื่อยเฉยเย็นชา
.
.
องค์ศาสดาสอนสั่งไม่ให้จมปลักในกับดักอดีต ไม่ให้เขียนขีดเส้นชัยให้อนาคต สิ่งที่พระองค์บอกคืออยู่กับปัจจุบัน

ข้าไม่ใคร่เข้าใจ ข้าพยามยามทำ ตอนนี้ข้าทำอย่างนั้น ข้าคิดถึง ข้าอยู่กับความคิดถึง ความคิดถึงที่มีทุกวัน ข้าอยู่กับปัจจุบัน

#โรคไร้สาระ

น่าน



น้องคนหนึ่งถ่ายภาพจักรยานคันหนึ่ง บนทางเท้าหนึ่ง ข้างกำแพงหนึ่ง มีผู้หญิงสวยคมคายคนหนึ่งเป็นคนขี่ เขาอธิบายภาพนั้นสั้นๆ ว่า "น่านก็คือน่าน"
.
.
จักรยานหนึ่ง ทางเท้าหนึ่ง กำแพงหนึ่ง แม้ไม่มีสาวงามคนหนึ่ง ผมยังเห็นและคิดคล้ายกับเขา ผมคิดว่า "นั่นหล่ะน่าน นั่นหล่ะหนึ่ง"
..................................
ขณะความรู้สึกหนึ่งผ่านเข้ามาในอารมณ์หนึ่ง
ชายชราคนหนึ่งบันทึกภาพจักรยานคันหนึ่ง ช่วงบ่ายหนึ่งในเมืองน่าน




หนึ่งเสี้ยวน่าน
#โรคไร้สาระ

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

การเดินทางกับกางเกงยีนส์ Indigoskin



หากย้อนไป 10 ปี ผมมีกางเกงยี่ห้อเดียวที่ใส่ประจำคือ LEVI STRAUSS & CO. กางเกงยีนส์เก่าแก่สายพันธุ์อเมริกัน 

คนที่เล่น Levi's เข้ากระดูกถ้าไม่ถูกปลูกฝังก็เข้าขั้นหลงใหลหรือเกิดและเติบโตข้างแค้มป์จีไอ (ทหารอเมริกัน)

ผมเป็นพวกหลัง คือเกิดทันแค้มป์ที่โคราช ผลิตภัณฑ์ Levi's Converse Layban จึงติดตัวติดตามาตั้งแต่เด็ก ผูกพันเป็นใยยาวจนอายุปาเข้ากลางคนยังซุกซนกับ Levi's เช่นเดิม

แต่วันหนึ่งก็แปรผันจากสายพันธุ์ต่างชาติ ผมหมกหมุ่นอยู่กับกางเกงไทยในนาม "Indigoskin"

ในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ผมได้กางเกงยีนส์มาตัวหนึ่งจากคุณน้อย (สุรินทร์ สนธิระติ) ที่กลางดงเมาเทนวิว อ.ปากช่อง คุณน้อยยื่นยีนส์ใหม่เอี่ยมให้ผมตัวหนึ่ง บอกว่าลองเอาไปใส่ หลานทำออกมาขาย (หมายถึงลูกชายคนโตของคุณน้อยเป็นผู้ออกแบบและผลิต)

จากวันนั้นถึงวานนี้ผมติดกางเกงตัวนี้มาก พามันเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว ทั้งในประเทศและต่างประเทศ มันกับผมพากันเดินทางผันผ่านหลายประเทศ หลายภูมิภาค หลายอากาศ หลายอารมณ์ เช่น ปักกิ่ง กวางโจว จูไห่ มาเก๊า เกาหลีใต้ไปจรดชายแดนเกาหลีเหนือ หรือเข้าไปอยู่ในเมืองกาฐมัณฑุ เมืองโภคราของเนปาล สุดท้ายปลายทางพามันไปตากหิมะกับอุณหภูมิติดลบ 22 องศาที่เกาะฮอกไกโด ญี่ปุ่น


มันไปกับผม ผมไปกับมัน กระทั่งความเข้มซีดด่าง จืดจางลงเป็นลำดับ รอยยับย่นข้นได้ที่ หลังกลับจากญี่ปุ่นผมมีโอกาสใส่มันอีกครั้งเดียว จากนั้นไม่ได้เจอหน้ากันอีกเลย


หลังจากพายีนส์คู่ใจไปท่องโลก กลับจากญี่ปุ่นผมแวะไปหา "ตะกร้อ" หรือธัชวีย์ สนธิระติ ผู้ออกแบบ ผู้สร้างสัญลักษณ์ ผู้คิดโปรเจคต์ และทำอะไรเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับยีนส์ที่เขาเรียกมันว่า Indigoskin
วันนั้นทักทายกันพอหอมปากหอมคอ ในฐานะอากับหลาน ในวิญญาณพี่กับน้อง เขาเห็นกางเกงที่ห่อท่อนล่างของผม เขายิ้ม จากนั้นส่งเสียงแกมบังคับให้ผมถอดกางเกงออก ถอดเพื่อเก็บเข้ากรุ เอาไว้ดิสเพลย์ร้านหรือจัดงานในอนาคต
ปรากฏว่าผมได้กางเกงตัวใหม่กลับบ้าน ก่อนจากลาตะกร้อบอกผม "พี่ปลาเอาไปปั้นหน่อย" เป็นอันเข้าใจกันในสายยีนส์ว่าปั้นหมายถึงใส่ให้มันสวย ให้มันเกิดคุณค่า (ทั้งๆ ที่มันมีคุณค่าอยู่แล้ว)
เวลาผ่านไปหลายเดือน ผมไม่ได้ใส่กางเกงตัวใหม่ไปไหนเลย ที่เป็นเช่นนั้นมาจากสองสาเหตุ 1.ผมอ้วน 2.กางเกงตัวใหม่ไม่โดนใจเท่าตัวแรก (คงเป็นเพราะความผูกพัน)
เวลาผ่านไปหลายเดือน ผมตัดสินใจคุยกับพี่น้อย (พ่อตะกร้อผู้ออกแบบ) ว่าผมอยากเอากางเกงไปเปลี่ยน (ด้วยความเกรงใจ) พี่น้อยบอกไปหาหลาน ไปเปลี่ยนเลย
เมื่อวานผมตัดสินใจไปสยาม ไปเปลี่ยนกางเกง แต่โทษเถอะครับด้วยความชราวัยดันลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่บ้าน ดีว่าในเป้มีเงินหลงเหลืออยู่ร้อยกว่าบาท เป็นร้อยกว่าบาทที่ส่งผมไปสยามสแควร์โดยปลอดภัย ผมต้องเดินด้วยความระมัดระวัง กลัวเดินไปชนอ่างกะปิล้มคว่ำคะมำหงายแล้วไม่มีเงินจ่าย เลาะเลียบทางเท้าจากสถานีรถไฟจนถึงร้านที่สยามซอย 1
ในร้านมีชายหนุ่มคุ้นหน้า มีชายหนุ่มแปลกหน้า และมีชายหนุ่มอีกคนก็แปลกหน้า คนคุ้นหน้าเป็นเพื่อนเจ้าของร้าน เขาบอกว่าตะกร้อไม่สบาย วันนี้ไม่ได้มา ผมบอกว่าไม่เป็นไร แต่ให้ต่อสายคุยกันหน่อย
การสนทนาแสนสั้นผ่านไป ความเข้าใจแสนยาวเข้าแทนที่ ผมเปลี่ยนกางเกง คราวนี้ได้รุ่นถูกใจ เหมือนรุ่นแรกที่เคยใส่ ต่อไปนี้คงต้องปั้นยีนส์ตัวนี้ให้ย่นยับขยับรอยอย่างที่เคยทำและเคยเป็น
ก่อนจากจากลาผมยืนดูแจ๊คเก็ตยีนส์ตัวหนึ่ง ผมมองมันมานาน มองตั้งแต่ร้านแรกกระทั่งย้ายมาอยู่ที่นี่ สัญญาว่าจะเป็นเจ้าของมันด้วยตังค์ตัวเอง
..................

"ตะกร้อ" หรือ "ธัชวีย์ สนธิระติ" ปัจจุบันเป็นนักออกแบบเสื้อผ้าแถวหน้าของเมืองไทย ได้ทำงานร่วมกับดีไซน์เนอร์ชื่อดังของญี่ปุ่น ได้ร่วมงานออกแบบ (บางงาน) กับ Converse เขาเป็นคนมีค่าหัว แบรนด์ดังต้องการตัว
เท่าที่ทราบเขายังคงดีไซน์งานตัวเองต่อไปตามบทวิถี มีสิ่งหนึ่งที่ผมเฝ้ามองคืองาน ผมเฝ้าดูดีไซน์เนอร์ผู้นี้ทำงานแล้วตั้งคำถาม เขามีทิศทางอย่างไรในวงการเสื้อผ้า? งานเท่ๆ ที่เห็นและเป็นไปจะก้าวไปอยู่ตรงไหนบนบันไดงานออกแบบ? ผมเฝ้าดูในฐานะผู้เสพ ไม่ใช่ฐานะญาติ
.................

หลังจากการเดินทาง+กางเกงยีนส์บทแรกโพสต์ในเฟสบุ๊ค มีคนถามว่า "ทำไมถึงชอบ Indigoskin" และ "Indigoskin มีอะไรดีถึงได้ลืมลีวายส์" ต้องบอกกันตรงนี้ ผมไม่ได้ลืมลีวายส์และไม่มีวันลืม (ทุกวันนี้ยังใส่อยู่)

ส่วน Indigoskin มีอะไรดี ไปค้นหากันเองครับ คือมันมีที่มาที่ไป เริ่มจากทรง ผ้า กระดุม เข็ม เครื่อง ทุกเรื่องล้วนละเอียดอ่อน ไม่เว้นแม้ป้ายหนังลายไทยซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ผมภาคภูมิใจใน INDIGOSKIN QUALITY OF SIAM

#โรคไร้สาระ

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ทางไกล



สายฟ้า
ฝนห่าใหญ่
พายุใจ
ภัยอารมณ์

เส้นทางการอยู่ร่วมไม่ได้สวยงามเสมอไป
แน่ใจแล้วหรือว่าพร้อมโบยบิน
อย่านึกว่ามันง่าย การใช้ชีวิตคู่ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
...............

ฟ้าก่อนค่ำ
บันทึกที่อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

16 มิถุนายน 2558
#โรคไร้สาระ

ชีวิตคล้ายโปสการ์ด




บางช่วงชีวิตเหมือนโปสการ์ด
ไร้ทุกข์ สุขเสมอ สวยงาม ไมีมีที่ติ
รอยจารึกด้านหลังมีไว้ให้ใครอิจฉา

บางช่วงชีวิตเหมือนโปสการ์ด
ไร้สุข ทุกข์เสมอ มีที่ติ ตำหนิบาน
รอยจารึกด้านหลังมีไว้ให้อ่านเพียงลำพัง
................................

วัดต้นเกว๋น (วัดตะขบป่า) เชียงใหม่


#โรคไร้สาระ


ช่องว่างระหว่างวัน



มีใครคนหนึ่งรอคอยใครคนหนึ่ง
บางวันคิดถึง บางวันโหยหา
อาการนี้ บางคนทับถมว่า "บ้า"
บางคนกล่าวหาว่า "เมา"

ผมสันนิษฐานว่า "รัก"
ถ้าบางวันเป็นเอามาก ผมสรุปว่า "รักและคิดถึง"
..........................


บันทึกภาพที่หลองข้าวลำ จ.เชียงใหม่
#โรคไร้สาระ

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เรือชรา


โซ่ตรวนน้ำตาตรึงเรือชราไว้ริมตลิ่ง
ผูกรัดมัดแน่นหนามานานแสนนาน
.............

ถึงเวลาปลดปล่อย
เรือลอยตามยถากรรม







บันทึกภาพที่แก่งก้อ อ.ลี้ จ.ลำพูน
#โรคไร้สาระ





วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บางคิดของบางคน




กอดแล้วปล่อย
รอคอยเพื่อคืนรัง

"ความหวังโง่ๆ ของคนงุ่มง่าม งดงามเสมอ" ใครบางคนบอก

"ไร้สาระสิ้นดี" ใครบางคนบ่น

#โรคไร้สาระ

สงครามความรัก

บทความนี้เป็นเรื่องสั้นที่เขียนลงในเพจ The Diary แบบ 4 ภาพ ภาพละตอน (4 ตอนจบ) ซึ่งถูกเผยแพร่ไปบ้างในกลุ่มเพื่อนพี่น้องในโลก FB (เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา)

เรื่องราวได้แรงบันดาลใจจากการเดินทางไปเยือนเมืองอุ้มผาง เมืองกลางป่าที่ผมหลงใหล
วันนี้ผมกลับเข้าไปอ่าน เข้าไปพิจารณา ผมพบว่าผมรักมันนะ "เรื่องไร้สาระในช่วงเวลาที่ไร้สาระ" 




สงครามความรัก ตอน 1
เช้าตรู่สู่รุ่งสาง เหตุเกิดกลางไพรในเสน่หา

ม่านหมอกก่อการณ์ดีด้วยวางแผนโจมตีผืนป่า
ไม่มีการเจรจาใดๆ ล่วงหน้า มันคืบคลานเข้ามาราวอสูรกายหลายรอยยิ้ม
ไม่นานนัก ป่าสุดที่รักตกอยู่ในอ้อมกอด กอดกันอยู่ในอ้อมใจ
เสียงผืนป่ากระชิบ "กอดฉันไว้ อย่าจากไปไหนนะ"
ป่ากระซิบทั้งๆ ที่รู้ว่าเวลาแห่งการจากลาใกล้เข้ามา
เมื่อตะวันโผล่พ้นสันเขา สาดแสงสู่แผ่นดิน ถึงเวลานั้นสายหมอกลอยฟุ้ง กระจายตัวไปในอากาศ อ้อมกอดคลาย คงเหลือเพียงสัมผัสรู้สึก..รู้สึกถึงสัมผัส


ความรักไม่เคยจางไปจากใจป่า
ศรัทธาไม่เคยจางไปจากใจโจร
หมอกกับไม้
หัวใจกับหัวใจ
ตลอดกาล นานตลอดไป




สงครามความรัก ตอน 2
เช้าตรู่สู่รุ่งสาย เหตุเกิดกลางไพรในคราวแค้น

ตะวันเคลื่อนเลื่อนตัวเหนือสันเขา
แสงเงาทอดทาบแผ่นดินถิ่นพฤกษา
เสียงป่าบอกหมอกให้ระวังสุริยา
เสียงตื่นกลัวจากเมฆาร้องระงม
ก่อนหมอกจางไป แสงส่งเสียงนาบนุ่ม..ทุ้มอารมณ์
"เจ้าจะกลัวข้าไปทำไม เจ้าหนาวมาทั้งคืน พอเจ้าตื่น..ข้ามอบความอบอุ่นให้ ไม่พอใจหรอกหรือ" ประโยคแรกเขาบอกป่า ประโยคต่อมาเขาบอกม่านหมอก

"เจ้ารักป่าข้ารู้ เจ้าสมสู่กันมาทั้งคืนข้าเห็น ถึงเวลาของตะวันบ้างทำไมต้องหวาดหวั่น หรือเจ้าเห็นแก่ตัวจนมิอาจจากนางไป"

หมอกไม่ตอบคำ สลายไปตามบทวิถี
ป่าก้มหน้าซ่อนยิ้ม คิดในใจเพียงลำพังว่า..ทิวาแห่งความสุขกำลังเริ่มต้น ความอบอุ่นเยื้องกายมา ขอเพียงอย่ามีฝนก็แล้วกัน





สงคราวความรัก ตอน 3

เช้าตรู่สู่ร่งบ่าย เหตุเกิดกลางไพรในอบอ้าว

ตะวันแอบแค้นเคืองสายหมอก แต่มันหลงรักป่า หลายครั้งหลงคิดว่าป่าเป็นของตะวันเพียงผู้เดียว มันไม่ได้คิดผิดแผกไปจากหมอก..เหมือนม่านหมอกพยายามปกคลุมผืนป่ายามเช้า เหมือนภาพขุนเขาซ่อนตัวอยู่ใต้ปีกหมอกขาวขุ่น

วันนี้ตะวันหมั่นไส้ป่า..เธอทำมารยาอิงแอบแนบชิดม่านหมอกเนิ่นนานเกินไป หลงลืมว่าสุริยารออยู่ วันนี้จึงหาเรื่องให้ป่าร้อน ส่งแสงแดดแผดเผาราวให้เรือนร่างพันธุ์ไม้ละลายไปกับความโกรธเคือง

แต่แสงแกล้งเธอได้ไม่นาน เสียงฟ้าคำรณเสียงฝนคำราม เมฆดำก่อตัว ฟ้าเริ่มมืดมัวด้วยกลุ่มเมฆสีเทาหม่น
ไม่นาน..สายฝนหล่นลงมา สายฟ้าส่งประกาย แสงแดดหนีหาย หมู่ไม้เริงระบำ

ฝนโอบอาบ ป่าซาบซึ้ง เฝ้ารำพึงถึงความเย็นซ่านผ่านกาบเปลือก ฝนยะเยือกไหลเซาะเลาะรอยร่อง ผ่านท่วงทำนองเพลงใบไม้ เสียวซ่านกาย กอดก่ายมนต์มายามิรู้เบื่อ

กว่าตะวันจะรู้ว่าฝนกับแมกไม้โอนถ่ายความรักกันอย่างไร ราตรีเฉิดฉายร่ายร่างเข้าครอบครอง หมดเวลาของตะวัน หมดวันของพิรุณ

"หลับเถิดป่า จันทราจะขับกล่อมเอง" เสียงดาวเถื่อนกระซิบป่าชื้นในช่วงเม็ดฝนยังไม่ระเหยหาย พันธุ์พฤกษบิดเรือนกาย..แสร้งเอียงอายพอเป็นพิธี



สงครามความรัก ตอน 4 (จบ)
เช้าตรู่สู่รุ่งวันใหม่ เหตุเกิดกลางไพรในความเข้าใจ

ฝูงนกบินออกจากป่า ออกไปหากินตามปกติ
พวกมันบินจากป่าหนึ่ง..สู่ป่าหนึ่ง เจ้าตัวเล็กบินอยู่ท้ายสุดเร่งความเร็วขึ้นมาเคียงข้างแม่ มันเอ่ยปากบอกกล่าวเรื่องบางอย่าง
"แม่ครับ วันนี้ป่าสวย หมอกงาม อากาศดี ด้านหน้าโน้นมีฝนตกลงมาเบาๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวันก็ดีซิครับแม่"

แม่นกหันมามอง แล้วบอกลูกน้อยว่า"ป่าไม่มีอะไรแน่ แม่เคยเห็นความเปลี่ยนแปลงมามากแล้ว พายุกระหน่ำ ซ้ำด้วยน้ำป่า บางกาลเวลาป่าแห้งแล้งร้าย น้ำซึมแทรกทราย แม้ควายยังไม่มีน้ำกิน"

"แล้ววันนี้........." เจ้าตัวเล็กเอ่ยถามไม่ทันจบประโยค แม่นกชิงตอบ

"เมื่อวาน...ฝน หมอก แดด ดวงดารา แวะเวียนมาหาป่า มาโอบกอดพลอดรัก สุดท้ายตกลงกันว่าจะรักป่าเท่าๆ กัน เกื้อหนุนจุนเจือกัน ถึงวันหนึ่งป่าท้องต้องมีครรภ์ คลอดลูกออกหลาน ป่าเบิกบานกว้างใหญ่ ถึงวันนั้นต้นไม้ในพงไพรจะโลมไล้ให้โลกเย็น"

เจ้าตัวเล็กพยักหน้า ขยับปีกบินข้ามป่า บินไปในท้องนภา บินตามแม่ไป
..............................

พายุทราย พรายทะเล
#โรคไร้สาระ

วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อยู่ที่ใจ






ขวากขม
คมหนาม
ก้าวข้ามหรือฟันฝ่า

ตามหาแรงใจให้เจอ อย่าปล่อยให้ความท้อแท้ขบกัดปัญญา
...............................


บันทึกภาพริมถนนเพชรเกษม ต.คลองวาฬ (ฝั่งตะวันตก) จ.ประจวบคีรีขันธุ์
#โรคไร้สาระ

วันอังคารที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พู่กันในมือนักรบ



พู่กันในมือนักรบผู้เหนื่อยล้าจากสงคราม
มิอาจนำรอยเลือดมาเฉือดเฉือนบนผืนผ้าใบ
สิ่งที่เขาต้องทำคือ

วาดความตายให้คลายขม
วาดความตรมให้หายขื่น
วาดความเริงรื่นให้เพื่อนชื่นใจ

วาดสันติตอบโต้ความขัดแย้ง
วาดความรุนแรงเป็นมิตรไมตรี
วาดคุณความดีสลายความระยำ

แล้ววันนี้
ผู้เสวยสุขในเมืองใหญ่วาดอะไรให้พวกเขา
กระถางธูปหรือคำเชยชม?

#โรคไร้สาระ

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ฝังรกราก

กราบไหว้บูชา
ศรัทธาหรืองมงาย

นานมาแล้ว ผมหัวเราะเยาะภาพพวงมาลัยตามต้นไม้
เย้ยหยันคนบูชาเทพเทวาที่เชื่อว่าสิงสถิตอยู่ในนั้น


วันหนึ่ง เริ่มรู้สึกถึงพลังบางอย่างจากต้นไม้หลังจากรู้จักป่าและรู้จักวิถีชนเผ่า

วันหนึ่งได้สัมผัสวิถีปะกาเก่อญอ (กะเหรี่ยง) พวกเขาบูชาต้นไม้ รักษ์ต้นไม้ รกจากสายสะดือมารดาหลังคลอดเป็นสายสัมพันธ์สืบถึงคนกับต้นไม้ พวกเขาเอารกฝังไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ เป็นต้นไม้ประจำตระกูล ต้นไม้ประจำครอบครัว มีความเชื่อว่าการฝังรกที่รากทำให้ชีวิตอุดมสมบูรณ์ ร่มเย็นเป็นสุข นับเป็นความเชื่อที่ยอดเยี่ยมเพราะเอาธรรมชาติมาดำเนินชีวิต เป็นปรัชญาเรียบง่ายที่น่านับถือ คือป่าอุดม ต้นไม้เติบโต ชีวิตเป็นสุข

วันหนึ่งผมยกมือไหว้ป่า กราบสักการะต้นไม้ มอบชีวิตและจิตวิญญาณให้ธรรมชาติ
วันหนึ่งผมเลิกยกมือไหว้นักการเมืองสกปกรก เลิกนับถือคนขี้อวดไร้ประโยชน์ต่อประเทศชาติ
วันหนึ่งผมไม่ยกมือไหว้ผู้ใหญ่บางคนที่ทำตนเยี่ยงเดรัจฉาน  มารสังคม

วันหนึ่งผมจะฝังร่างไว้ใต้แผ่นหิน ใต้ผืนดิน หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับรกใต้ราก ละลายกลายเป็นอินทรีย์ธาตุส่งเสริมให้ต้นไม้เจริญเติบโตต่อไป


ถึงวันนี้ผมเคารพต้นไม้ ศรัทธาสายน้ำ ค้อมคำนับสายลมเมฆฝน ไม่มีความเคลือบแคลงใจใดๆ เกี่ยวกับผู้คนที่กราบไหว้บูชาฟ้าดินอีกต่อไป



#โรคไร้สาระ

ตองน้ำตา

อาบน้ำทะเลดาว
อุ่นหนาวคราวรินไหล
โอบกอดด้วยตองใจ
อิ่มหยาดใสใยน้ำตา

บางสิ่งเกิดมาเพื่อรองรับ ไม่ได้ให้ก็เหมือนให้ ต้องเข้าใจวิถีตน


#โรคไร้สาระ