วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559

ปูลมริมเล (เรื่องสั้น สั้นๆ)





ฟ้ากว้าง
ทางชื้น
สายลมสะอื้น
ทะเลตื่นในคืนหยาดน้ำตา

หญิงสาวนางหนึ่งเดินเซบนทราย คล้ายไร้แรง คล้ายหมดทางสู้
จากเช้าตรู่ล่วงสู่บ่ายคล้อย เธอนั่งเหม่อลอยเหมือนรอคอยให้คลื่นซัดใจ

ปูลมชราเฝ้ามองเธอทั้งวัน ราวฝันซ้ำๆ ไม่สนุกเลย

เวลาผ่านไป ตะวันย้ายย่ำค่ำสนธยา ปูชราเดินเข้าไปใกล้ กล่าวทักทายเธอ “สวัสดีมนุษย์”

เธอหันมามอง สายตาเย็นชายังเหลือรอยยิ้ม

“ไปไหนมา? มีอะไรหรือเปล่า? เล่าให้ฟังได้นะ” ปูแก่เก๋าพาเข้าสู่คำถามที่ไม่อยากรู้เพราะเคยดูและเห็นอาการเช่นนี้มาเยอะแล้ว

“ไม่ได้ไปไหน อยากเดินทาง อยากไปให้ไกล ไม่มีจุดหมาย ข้างหลังไม่มีใคร ข้างหน้าอาจดีกว่า” เธอตอบเบาแผ่ว แสงสุดท้ายจับใบหน้าช้ำ...งามประหลาด

“ระหว่างทางพบเห็นอะไรบ้าง ถ้าเห็นแล้วไม่ค้นหาชีวิตก็ไร้ค่า อย่ามัวแต่ตรอมตรมซมเศร้า ทิ้งความเขลา ลุกขึ้นมาสู้ ระหว่างคำชื่นชมกับสมน้ำหน้า ราคามันต่างกันนะ” ปูเฒ่าเฝ้าบอก หวังให้เธอหลุดพ้นจากซอกช้ำ

เธอยิ้มพยักหน้าช้าๆ ไม่ตอบโต้อะไร 




แสงทองครองฟ้า ศรัทธาครองใจ
หญิงสาวอาจหลับใหล...หรือร่ำไห้ใครจะรู้

ไม่มีปูลมตัวไหนเห็นเธอบนหาดทรายผืนนั้นอีกเลย
..........................

เหตุเกิดที่อ่าวคลองวาฬ จ.ประจวบคีรีขันธุ์

ในอีกสถานะหนึ่ง



บทความ+ภาพถ่ายในโลกโซเชียลทั้งในบล็อกและเฟซบุ๊ค...มีหลายเรื่องผ่านหูผ่านตา มีหลายเรื่องผ่านมาผ่านไป บางเรื่องไม่ถึงปลายทาง บางเรื่องตกค้างจนลืมหลง เหมือนกระทงไร้หางเสือ คล้ายเกลือไม่ถูกลิ้มรส

ขณะนี้ผมกำลังเก็บทั้งเรื่องและภาพ รวบรวมเพื่อตีพิมพ์ลงบนกระดาษ...กระดาษที่ใครหลายคนเลิกอ่าน ไม่อ่าน หรือบางคนอาจไม่เคยอ่าน แต่ผมว่าหนังสือยังมีเสน่ห์อยู่นะ คือมันไม่ถึงกับละลายหายไปในโลกสมัยใหม่ ไม่ถึงกับอันตรธานไปกับแอปเปิ้ลแหว่งเว้า....พบเรื่องราวไร้สาระในอีกสถานะหนึ่ง ไม่น่านานเกินรอครับ

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

มะขามเทศกับเสี้ยวบางๆ ในทางเยาว์ (สั้นๆ เรื่องสั้น)



ตอนเป็นเด็ก ประมาณ 8-9 ขวบ วันเสาร์อาทิตย์ไม่เคยอยู่บ้าน ซึ่งเด็กบางคนเขาอยู่บ้าน ดูการ์ตูน ไอ้มดแดงอะไรพวกนั้น แต่ผมติดเพื่อนมากกว่าการ์ตูน ผมกับเพื่อนสามสี่คนแบกคันเบ็ดออกจากป่าละเมาะข้างบ้าน เดินจากถิ่นที่อยู่คือสระแมวผ่านแยกวัดบูรณ์ เลี้ยวลัดกำแพงคุกออกไปสู่คูเมือง เลาะเลียบตามทางรถไฟไปจนถึงบึงใหญ่ที่เราเรียกกันว่า “หัวทะเล”  (เมืองโคราช)

เราไปเล่นน้ำ ไปตกปลา ตามประสาเด็กชอบพเนจร ตกได้...ก่อไฟย่างปลา ทำกินกันในวันนั้น (ห่อข้าวไปด้วย) พวกเราออกไปตั้งแต่เช้าจรดเย็น วันไหนกลับบ้านมืดค่ำโดนฟาดก้นไปตามระเบียบ ถ้าวันเสาร์โดน วันอาทิตย์หมดสิทธิไปไหนไกลเพราะถูกข่มขู่ว่าโดนซ้ำแน่ แม่แต่ละคนซัดกันเต็มเหนี่ยว ไม่เกี่ยวตัวเล็กตัวใหญ่ โดนเหมือนกันหมด

นอกจากปลาที่ตกได้ ระหว่างทางมักได้กินผลไม้บ้านๆ จำพวกตะขบ มะม่วง มะขามหวาน มะขามเทศ ผลไม้จำพวกนี้ไม่ต้องซื้อ มีอยู่ริมทางทั่วไป ส่วนตัวผมไม่ชอบกินตะขบ มันหวานพิกลๆ กินมากพาลจะเวียนหัว ที่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นมะขามเทศ

มะขามเทศสมัยก่อนต้นใหญ่ ปีนยาก หนามเยอะ ถ้าไม่ใช้ไม้สอย ต้องใช้หนังสติ๊กยิงให้ร่วง ซึ่งเราเลือกใช้วิธีหลัง (ไม่เคยแบกไม้สอยไปด้วยมันเกะกะ) การยิงมะขามเทศต้องมากฝีมือ ต้องยิงที่ขั้วเพื่อให้มันร่วงลงมาแบบสมบูรณ์ที่สุด ถ้าโดนฝักแตกกระจายนอกจากได้กินไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยยังไม่ถือว่ามีฝีมือ ต้องยิงตัดขั้วเรียวเล็กเท่านั้น

มาถึงวันนี้วิวัฒนาการทางการเกษตรเปลี่ยนไป มะขามเทศต้นเล็กลง ฝักใหญ่ขึ้น หวานน้อยลง  ส่วนใหญ่เขาปลูกเพื่อขาย จะมีอยู่บ้างตามถนนในชนบท...ต้นโตใหญ่เหมือนในอดีต

ผมไม่เคยคิดว่ามะขามเทศที่เด็ดดมชมฟรีในวัยเยาว์จะมีราคาแพงมาก เดี๋ยวนี้ตกกิโลกรัมละ 80-120 บาท แต่เมื่อกลับมาพิจารณาดูก็เห็นว่ามันน่าจะแพงเพราะกว่าจะได้หนึ่งกิโลปาเข้าไปหลายฝัก ที่สำคัญในหนึ่งปีมีผลครั้งเดียว


ปัจจุบันผมยังนิยมชมชอบกินมะขามเทศ แต่เปลี่ยนจากยิงด้วยหนังสติ๊กมาเป็นซื้อด้วยเงิน เสียงตังค์ก็ยอม ชอบไปแล้วนี่ จะให้ไปยิงอย่างเดิมคงไม่ไหว ไขข้อไม่ดี ตาก็ฟ่าฟาง ยิงช้างจะโดนหรือเปล่ายังไม่รู้เลยครับ