วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

"เพื่อนริมไร่" เรื่องสั้น (สั้นๆ)



ชายหนุ่มนายหนึ่งพาร่างไร้แรงมาที่ปลายถนนสีฝุ่นสายแคบ ที่แขนมีรอยเลือด เป็นแผลสดใหม่คล้ายคมมีด รอบๆ ตัวมีไร่อ้อยกับป่าแห้ง แสดงให้เห็นว่าเป็นฉากชีวิตในชนบท และบ่งชี้ว่าแผลสดสะอาดไม่ได้เกิดจากคมมีดแต่เกิดจากคมอ้อย ซึ่งชาวไร่รู้ดีว่าใบอ้อยนั้นคมกริบราวมีดโกน

เขาทิ้งร่างลงข้างขอนไม้ เอนหลังพิงขอนกึ่งนอนกึ่งนั่ง ดวงตาเหม่อลอยคล้ายคอยความหวัง

สายลมแผ่วพาเขาหลับใหล นานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ดูเหมือนเวลาล่วงบ่ายมามากแล้ว

เขาไม่รู้สึกหิวแม้ไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า เขาถามตัวเองว่า ไปไหนดี...จะไปไหนดี

ก่อนตัดสินใจ มีผีเสื้อชราผ่านมาตัวหนึ่ง คงบินมาไกลจึงไถลลงมาเกาะยอดหญ้า

มันมองหน้าเขา เขามองหน้ามัน 
เขาถามผีเสื้อว่า “คงบินมาไกล เหนื่อยไหมผู้เฒ่า”

ผีเสื้อชรายิ้ม ยักคิ้วข้างหนึ่ง ตอบแบบกวนบาทาสุดเกือก “เหนื่อยแล้วไง ในเมื่อข้าต้องไป ข้าต้องมา ข้าแค่พัก ปลายทางยังอีกไกล เกี่ยวอะไรกับเจ้า”

“ท่านจะไปไหน ผีเสื้อมีปลายทางด้วยเหรอ” เขาถามต่อ

“ข้าไปของข้า ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ข้าบินหนีเหงา  หลีกหนีเงาลวง”  ผีเสื้อชราเหมือนไม่อยากบอก แต่บอกหมดแล้ว

“ท่านเหมือนข้าหรือข้าเหมือนท่าน” เขาพูดขึ้นมาลอยๆ คล้ายถาม (แต่ผีเสื้อตอบ)

“ไม่มีใครเหมือนใคร แล้วเจ้าจะไปไหน” ตาเฒ่าถามบ้าง

“ข้าไม่รู้ ข้ายังไม่รู้” ตอบแบบไร้น้ำหนักเต็มที

ผีเสื้อพยักหน้า ทำท่าเก๋าได้ถ้วย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ดูดีน่าเชื่อถือ “ถ้าเจ้ารู้จักโลกดีกว่านี้เจ้าคงมีทางไป แต่ถ้าอ่อนไหว หมดใจในรัก เจ้าต้องเลือก เจ้าจะเลือกทาวใด ระหว่าง…
…นาแล้งในทุ่งโล่ง
ลำประโดงในหุบผา
ธารตรอกซอกจันทรา
ดวงดาราเหนือผาชัน”

เงียบ ทุกอย่างเงียบ ไม่มีเสียงตอบ ไม่มีเสียงสนทนา

เวลาผ่านไป ตะวันเคลื่อนคล้อยลอยต่ำ ราตรีสีเทาดำครอบงำท้องฟ้า  มันกับเขาเลือนหายไปในเงามืด

เวลาผ่านไป นกน้อยผู้เป็นยามไพรแจ้งว่าเห็นผีเสื้อชรากับชายหนุ่มเดินเข้าไปในหุบเหวห่างรัก เข้าใจว่ามันคงพักอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง นานเท่าไรไม่มีใครรู้

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

"บางใบ" เรื่องสั้น (สั้นๆ)




สนธยาหนึ่ง ชายหนุ่มจากเมืองหลวง โซเซกลับบ้าน เขากราบแม่ โอบกอดไม่ปล่อย บ่งบอกริ้วรอยความโศกเศร้าด้วยน้ำตา

แม่เฒ่าตบไหล่โอบหลัง กอดเหมือนทุกครั้งที่ลูกกลับมา

เวลาผ่านไป ไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกจากปาก

เวลาผ่านไป ใจเริ่มอุ่น เขาเล่าเรื่องราวมากมายให้แม่ฟัง

แม่ฟังจนจบ แม่ยิ้มบางๆ บอกเขาว่า “ไม่เป็นไร ชีวิตก็เป็นแบบนี้ ทุกข์ ถอย ท้อ รอคอย เป็นบทเรียนที่ดีแม้ต้องแลกด้วยความช้ำ วันหนึ่งเราจะเข้มแข็ง อย่าหันหลังให้โชคชะตา อย่าห้นหน้าให้ความขลาด ทางเดินยังอีกไกล ทางไปยังมีให้เราเลือก ทุกอย่างอยู่ที่เรา”

พูดจบ แม่เฒ่าจูงมือลูกชายเข้าไปในสวนหลังบ้าน มือกร้านจับจอบ ขุดหลุมเล็กๆ สองหลุม แกชี้มือไปที่ต้นกล้า ลูกชายหยิบต้นไม้มาหย่อนลงหลุม รดน้ำ กลบดิน...กลิ่นราตรีโชยมากับสายลม

ก่อนเข้าบ้าน แม่ยืนมองต้นไม้ใหม่ พูดขึ้นมาลอยๆ “เราไม่รู้หรอกว่ามันจะโตหรือตาย ได้แต่หวังว่ามันจะรอด ถ้ามันไม่รอดเราก็ปลูกใหม่ หาวิธีปลูกใหม่ หรือหาไม้พันธุ์ใหม่ ที่สำคัญ ต้องดูแลมันให้ดี”


ดึกมาก ต่างคนต่างแยกย้ายเข้านอน ชายหนุ่มยังเศร้าโศก โลกเหงายังร้องไห้ น้ำตายังรินไหล... เปียกไปถึงหัวใจแม่

วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559

ปูลมริมเล (เรื่องสั้น สั้นๆ)





ฟ้ากว้าง
ทางชื้น
สายลมสะอื้น
ทะเลตื่นในคืนหยาดน้ำตา

หญิงสาวนางหนึ่งเดินเซบนทราย คล้ายไร้แรง คล้ายหมดทางสู้
จากเช้าตรู่ล่วงสู่บ่ายคล้อย เธอนั่งเหม่อลอยเหมือนรอคอยให้คลื่นซัดใจ

ปูลมชราเฝ้ามองเธอทั้งวัน ราวฝันซ้ำๆ ไม่สนุกเลย

เวลาผ่านไป ตะวันย้ายย่ำค่ำสนธยา ปูชราเดินเข้าไปใกล้ กล่าวทักทายเธอ “สวัสดีมนุษย์”

เธอหันมามอง สายตาเย็นชายังเหลือรอยยิ้ม

“ไปไหนมา? มีอะไรหรือเปล่า? เล่าให้ฟังได้นะ” ปูแก่เก๋าพาเข้าสู่คำถามที่ไม่อยากรู้เพราะเคยดูและเห็นอาการเช่นนี้มาเยอะแล้ว

“ไม่ได้ไปไหน อยากเดินทาง อยากไปให้ไกล ไม่มีจุดหมาย ข้างหลังไม่มีใคร ข้างหน้าอาจดีกว่า” เธอตอบเบาแผ่ว แสงสุดท้ายจับใบหน้าช้ำ...งามประหลาด

“ระหว่างทางพบเห็นอะไรบ้าง ถ้าเห็นแล้วไม่ค้นหาชีวิตก็ไร้ค่า อย่ามัวแต่ตรอมตรมซมเศร้า ทิ้งความเขลา ลุกขึ้นมาสู้ ระหว่างคำชื่นชมกับสมน้ำหน้า ราคามันต่างกันนะ” ปูเฒ่าเฝ้าบอก หวังให้เธอหลุดพ้นจากซอกช้ำ

เธอยิ้มพยักหน้าช้าๆ ไม่ตอบโต้อะไร 




แสงทองครองฟ้า ศรัทธาครองใจ
หญิงสาวอาจหลับใหล...หรือร่ำไห้ใครจะรู้

ไม่มีปูลมตัวไหนเห็นเธอบนหาดทรายผืนนั้นอีกเลย
..........................

เหตุเกิดที่อ่าวคลองวาฬ จ.ประจวบคีรีขันธุ์

ในอีกสถานะหนึ่ง



บทความ+ภาพถ่ายในโลกโซเชียลทั้งในบล็อกและเฟซบุ๊ค...มีหลายเรื่องผ่านหูผ่านตา มีหลายเรื่องผ่านมาผ่านไป บางเรื่องไม่ถึงปลายทาง บางเรื่องตกค้างจนลืมหลง เหมือนกระทงไร้หางเสือ คล้ายเกลือไม่ถูกลิ้มรส

ขณะนี้ผมกำลังเก็บทั้งเรื่องและภาพ รวบรวมเพื่อตีพิมพ์ลงบนกระดาษ...กระดาษที่ใครหลายคนเลิกอ่าน ไม่อ่าน หรือบางคนอาจไม่เคยอ่าน แต่ผมว่าหนังสือยังมีเสน่ห์อยู่นะ คือมันไม่ถึงกับละลายหายไปในโลกสมัยใหม่ ไม่ถึงกับอันตรธานไปกับแอปเปิ้ลแหว่งเว้า....พบเรื่องราวไร้สาระในอีกสถานะหนึ่ง ไม่น่านานเกินรอครับ

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

มะขามเทศกับเสี้ยวบางๆ ในทางเยาว์ (สั้นๆ เรื่องสั้น)



ตอนเป็นเด็ก ประมาณ 8-9 ขวบ วันเสาร์อาทิตย์ไม่เคยอยู่บ้าน ซึ่งเด็กบางคนเขาอยู่บ้าน ดูการ์ตูน ไอ้มดแดงอะไรพวกนั้น แต่ผมติดเพื่อนมากกว่าการ์ตูน ผมกับเพื่อนสามสี่คนแบกคันเบ็ดออกจากป่าละเมาะข้างบ้าน เดินจากถิ่นที่อยู่คือสระแมวผ่านแยกวัดบูรณ์ เลี้ยวลัดกำแพงคุกออกไปสู่คูเมือง เลาะเลียบตามทางรถไฟไปจนถึงบึงใหญ่ที่เราเรียกกันว่า “หัวทะเล”  (เมืองโคราช)

เราไปเล่นน้ำ ไปตกปลา ตามประสาเด็กชอบพเนจร ตกได้...ก่อไฟย่างปลา ทำกินกันในวันนั้น (ห่อข้าวไปด้วย) พวกเราออกไปตั้งแต่เช้าจรดเย็น วันไหนกลับบ้านมืดค่ำโดนฟาดก้นไปตามระเบียบ ถ้าวันเสาร์โดน วันอาทิตย์หมดสิทธิไปไหนไกลเพราะถูกข่มขู่ว่าโดนซ้ำแน่ แม่แต่ละคนซัดกันเต็มเหนี่ยว ไม่เกี่ยวตัวเล็กตัวใหญ่ โดนเหมือนกันหมด

นอกจากปลาที่ตกได้ ระหว่างทางมักได้กินผลไม้บ้านๆ จำพวกตะขบ มะม่วง มะขามหวาน มะขามเทศ ผลไม้จำพวกนี้ไม่ต้องซื้อ มีอยู่ริมทางทั่วไป ส่วนตัวผมไม่ชอบกินตะขบ มันหวานพิกลๆ กินมากพาลจะเวียนหัว ที่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นมะขามเทศ

มะขามเทศสมัยก่อนต้นใหญ่ ปีนยาก หนามเยอะ ถ้าไม่ใช้ไม้สอย ต้องใช้หนังสติ๊กยิงให้ร่วง ซึ่งเราเลือกใช้วิธีหลัง (ไม่เคยแบกไม้สอยไปด้วยมันเกะกะ) การยิงมะขามเทศต้องมากฝีมือ ต้องยิงที่ขั้วเพื่อให้มันร่วงลงมาแบบสมบูรณ์ที่สุด ถ้าโดนฝักแตกกระจายนอกจากได้กินไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยยังไม่ถือว่ามีฝีมือ ต้องยิงตัดขั้วเรียวเล็กเท่านั้น

มาถึงวันนี้วิวัฒนาการทางการเกษตรเปลี่ยนไป มะขามเทศต้นเล็กลง ฝักใหญ่ขึ้น หวานน้อยลง  ส่วนใหญ่เขาปลูกเพื่อขาย จะมีอยู่บ้างตามถนนในชนบท...ต้นโตใหญ่เหมือนในอดีต

ผมไม่เคยคิดว่ามะขามเทศที่เด็ดดมชมฟรีในวัยเยาว์จะมีราคาแพงมาก เดี๋ยวนี้ตกกิโลกรัมละ 80-120 บาท แต่เมื่อกลับมาพิจารณาดูก็เห็นว่ามันน่าจะแพงเพราะกว่าจะได้หนึ่งกิโลปาเข้าไปหลายฝัก ที่สำคัญในหนึ่งปีมีผลครั้งเดียว


ปัจจุบันผมยังนิยมชมชอบกินมะขามเทศ แต่เปลี่ยนจากยิงด้วยหนังสติ๊กมาเป็นซื้อด้วยเงิน เสียงตังค์ก็ยอม ชอบไปแล้วนี่ จะให้ไปยิงอย่างเดิมคงไม่ไหว ไขข้อไม่ดี ตาก็ฟ่าฟาง ยิงช้างจะโดนหรือเปล่ายังไม่รู้เลยครับ

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ขาวกับดำ ต่างกันตรงไหน




ถนนบางสายมืดดำ มองไม่เห็นอะไรนอกจากมุมหม่น
บางถนนสว่างขาว มองไม่เห็นอะไรนอกจากหนาวเหน็บ

คงต้องมองมันด้วยใจ คงต้องไปด้วยความรู้สึก
อีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าฟ้าอาจเปลี่ยน ฝนอาจตก ป่ารกอาจเปิดเผยตัวตน

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันต้องเดินต่อไป ปลายทางมีเส้นชัยรออยู่

#โรคไร้สาระ

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เส้นขนาน



เธอเดินทางหนึ่ง
ฉันเดินทางหนึ่ง
ข้ามไปไม่ได้ เอื้อมไปไม่ถึง
แอบมองเธออยู่บนถนนสายนั้น
ถนนที่เธอฉันเรียกมันว่าอุดมการณ์
...............

ความทรมานของการจากคือยังเห็นหน้ากันอยู่

#โรคไร้สาระ