ตอนเป็นเด็ก ประมาณ 8-9 ขวบ
วันเสาร์อาทิตย์ไม่เคยอยู่บ้าน ซึ่งเด็กบางคนเขาอยู่บ้าน ดูการ์ตูน ไอ้มดแดงอะไรพวกนั้น
แต่ผมติดเพื่อนมากกว่าการ์ตูน ผมกับเพื่อนสามสี่คนแบกคันเบ็ดออกจากป่าละเมาะข้างบ้าน
เดินจากถิ่นที่อยู่คือสระแมวผ่านแยกวัดบูรณ์ เลี้ยวลัดกำแพงคุกออกไปสู่คูเมือง เลาะเลียบตามทางรถไฟไปจนถึงบึงใหญ่ที่เราเรียกกันว่า
“หัวทะเล” (เมืองโคราช)
เราไปเล่นน้ำ ไปตกปลา ตามประสาเด็กชอบพเนจร
ตกได้...ก่อไฟย่างปลา ทำกินกันในวันนั้น (ห่อข้าวไปด้วย) พวกเราออกไปตั้งแต่เช้าจรดเย็น
วันไหนกลับบ้านมืดค่ำโดนฟาดก้นไปตามระเบียบ ถ้าวันเสาร์โดน วันอาทิตย์หมดสิทธิไปไหนไกลเพราะถูกข่มขู่ว่าโดนซ้ำแน่ แม่แต่ละคนซัดกันเต็มเหนี่ยว ไม่เกี่ยวตัวเล็กตัวใหญ่ โดนเหมือนกันหมด
นอกจากปลาที่ตกได้ ระหว่างทางมักได้กินผลไม้บ้านๆ
จำพวกตะขบ มะม่วง มะขามหวาน มะขามเทศ ผลไม้จำพวกนี้ไม่ต้องซื้อ มีอยู่ริมทางทั่วไป
ส่วนตัวผมไม่ชอบกินตะขบ มันหวานพิกลๆ กินมากพาลจะเวียนหัว
ที่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นมะขามเทศ
มะขามเทศสมัยก่อนต้นใหญ่ ปีนยาก หนามเยอะ
ถ้าไม่ใช้ไม้สอย ต้องใช้หนังสติ๊กยิงให้ร่วง ซึ่งเราเลือกใช้วิธีหลัง (ไม่เคยแบกไม้สอยไปด้วยมันเกะกะ)
การยิงมะขามเทศต้องมากฝีมือ ต้องยิงที่ขั้วเพื่อให้มันร่วงลงมาแบบสมบูรณ์ที่สุด
ถ้าโดนฝักแตกกระจายนอกจากได้กินไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยยังไม่ถือว่ามีฝีมือ ต้องยิงตัดขั้วเรียวเล็กเท่านั้น
มาถึงวันนี้วิวัฒนาการทางการเกษตรเปลี่ยนไป
มะขามเทศต้นเล็กลง ฝักใหญ่ขึ้น หวานน้อยลง ส่วนใหญ่เขาปลูกเพื่อขาย จะมีอยู่บ้างตามถนนในชนบท...ต้นโตใหญ่เหมือนในอดีต
ผมไม่เคยคิดว่ามะขามเทศที่เด็ดดมชมฟรีในวัยเยาว์จะมีราคาแพงมาก
เดี๋ยวนี้ตกกิโลกรัมละ 80-120 บาท แต่เมื่อกลับมาพิจารณาดูก็เห็นว่ามันน่าจะแพงเพราะกว่าจะได้หนึ่งกิโลปาเข้าไปหลายฝัก
ที่สำคัญในหนึ่งปีมีผลครั้งเดียว
ปัจจุบันผมยังนิยมชมชอบกินมะขามเทศ
แต่เปลี่ยนจากยิงด้วยหนังสติ๊กมาเป็นซื้อด้วยเงิน เสียงตังค์ก็ยอม ชอบไปแล้วนี่
จะให้ไปยิงอย่างเดิมคงไม่ไหว ไขข้อไม่ดี ตาก็ฟ่าฟาง
ยิงช้างจะโดนหรือเปล่ายังไม่รู้เลยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น