ชายหนุ่มนายหนึ่งพาร่างไร้แรงมาที่ปลายถนนสีฝุ่นสายแคบ
ที่แขนมีรอยเลือด เป็นแผลสดใหม่คล้ายคมมีด รอบๆ ตัวมีไร่อ้อยกับป่าแห้ง
แสดงให้เห็นว่าเป็นฉากชีวิตในชนบท และบ่งชี้ว่าแผลสดสะอาดไม่ได้เกิดจากคมมีดแต่เกิดจากคมอ้อย ซึ่งชาวไร่รู้ดีว่าใบอ้อยนั้นคมกริบราวมีดโกน
เขาทิ้งร่างลงข้างขอนไม้
เอนหลังพิงขอนกึ่งนอนกึ่งนั่ง ดวงตาเหม่อลอยคล้ายคอยความหวัง
สายลมแผ่วพาเขาหลับใหล
นานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ดูเหมือนเวลาล่วงบ่ายมามากแล้ว
เขาไม่รู้สึกหิวแม้ไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า
เขาถามตัวเองว่า ไปไหนดี...จะไปไหนดี
ก่อนตัดสินใจ มีผีเสื้อชราผ่านมาตัวหนึ่ง
คงบินมาไกลจึงไถลลงมาเกาะยอดหญ้า
มันมองหน้าเขา
เขามองหน้ามัน
เขาถามผีเสื้อว่า
“คงบินมาไกล เหนื่อยไหมผู้เฒ่า”
ผีเสื้อชรายิ้ม ยักคิ้วข้างหนึ่ง ตอบแบบกวนบาทาสุดเกือก “เหนื่อยแล้วไง ในเมื่อข้าต้องไป ข้าต้องมา ข้าแค่พัก ปลายทางยังอีกไกล เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
“ท่านจะไปไหน
ผีเสื้อมีปลายทางด้วยเหรอ” เขาถามต่อ
“ข้าไปของข้า
ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ข้าบินหนีเหงา หลีกหนีเงาลวง”
ผีเสื้อชราเหมือนไม่อยากบอก แต่บอกหมดแล้ว
“ท่านเหมือนข้าหรือข้าเหมือนท่าน”
เขาพูดขึ้นมาลอยๆ คล้ายถาม (แต่ผีเสื้อตอบ)
“ไม่มีใครเหมือนใคร
แล้วเจ้าจะไปไหน” ตาเฒ่าถามบ้าง
“ข้าไม่รู้
ข้ายังไม่รู้” ตอบแบบไร้น้ำหนักเต็มที
ผีเสื้อพยักหน้า
ทำท่าเก๋าได้ถ้วย ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ดูดีน่าเชื่อถือ “ถ้าเจ้ารู้จักโลกดีกว่านี้เจ้าคงมีทางไป
แต่ถ้าอ่อนไหว หมดใจในรัก เจ้าต้องเลือก เจ้าจะเลือกทาวใด ระหว่าง…
…นาแล้งในทุ่งโล่ง
ลำประโดงในหุบผา
ธารตรอกซอกจันทรา
ดวงดาราเหนือผาชัน”
เงียบ
ทุกอย่างเงียบ ไม่มีเสียงตอบ ไม่มีเสียงสนทนา
เวลาผ่านไป
ตะวันเคลื่อนคล้อยลอยต่ำ ราตรีสีเทาดำครอบงำท้องฟ้า มันกับเขาเลือนหายไปในเงามืด
เวลาผ่านไป
นกน้อยผู้เป็นยามไพรแจ้งว่าเห็นผีเสื้อชรากับชายหนุ่มเดินเข้าไปในหุบเหวห่างรัก
เข้าใจว่ามันคงพักอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง นานเท่าไรไม่มีใครรู้